ตั้งศูนย์เฉพาะกิจบริหารจัดการน้ำ สทนช.ถกแผนพร่องน้ำ 5 เขื่อนใหญ่

เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ จับมือ กรมชลประทาน กรมอุตุนิยมวิทยา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ เปิดศูนย์เฉพาะกิจร่วมบริหารจัดการน้ำ ที่ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) กรมชลประทาน สามเสน พร้อมหารือหน่วยเกี่ยวข้องเร่งระบายน้ำ 5 เขื่อนใหญ่ หลังพบน้ำพุ่งเกิน 80% ของความจุ สั่งทบทวนแผนรับผลกระทบประชาชนท้ายน้ำ และน้ำล้นตลิ่งริมลำน้ำโขงจ่อสูงต่อเนื่อง

นายสมเกียรติ  ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ครั้งที่ 2/2561 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ระบุว่า ช่วงวันที่ 3 ส.ค. 61 ระดับน้ำที่จ.นครพนม จะเพิ่มสูงสุดที่ระดับ 12.70 (ม.) ซึ่งสูงกว่าระดับตลิ่ง 0.70 ม. ระดับน้ำที่จ.มุกดาหาร จะเพิ่มสูงสุดที่ระดับ 13.15 (ม.) ซึ่งสูงกว่าระดับตลิ่ง 0.65 ม. และระดับน้ำที่ จ.อุบลราชธานี จะเพิ่มสูงสุดที่ระดับ 14.86 (ม.) ซึ่งสูงกว่าระดับตลิ่ง 0.36 ม. ขณะที่อ่างเก็บน้ำต่างๆ ปริมาณน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัจจุบนพบว่า มีอ่างเก็บน้ำปริมาณน้ำเกินความจุ  100 % เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดกลางจำนวน 50 อ่าง และอ่างฯ เฝ้าระวัง คือ 80 – 100% ของความจุ เป็นอ่างขนาดใหญ่ 5 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำน้ำอูน 92% เขื่อนแก่งกระจาน 91% เขื่อนศรีนครินทร์ 85% และเขื่อนปราณบุรี 81% เขื่อนวชิราลงกรณ์ 81%  และเป็นอ่างขนาดกลาง 50 แห่ง

ดังนั้น เพื่อป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้น หากปริมาณฝนตกขึ้นมาเพิ่มตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคม  – ตุลาคม ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ ที่ประชุมได้มีมติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางแผนการระบายน้ำตามเกณฑ์ควบคุมอ่างเก็บน้ำ  ส่วนในกรณีที่ไม่มีเกณฑ์การจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำ ( Rule Curve) ในช่วงเดือนสิงหาคม – ตุลาคมให้ดำเนินการตามเกณฑ์ควบคุมที่สทนช.กำหนด พร้อมทั้งให้ทุกหน่วยงานจัดทำมาตรการเตรียมความพร้อมลดความเสี่ยงอุทกภัยกรณีการระบายน้ำฉุกเฉินของอ่างเก็บน้ำและกรณีเขื่อนวิบัติ เพื่อเป็นแผนปฏิบัติการให้ทุกหน่วยงานรับไปปฏิบัติในแนวทางเดียวกันโดยเร็ว และลดผลกระทบให้แก่ประชาชนให้มากทื่สุดด้วย

                “หากเปรียบเทียบกับปริมาณน้ำในเขื่อน ณ วันที่ 1 พฤษภาคม 2561 ซึ่งเป็นช่วงต้นฤดูฝน จำนวนอ่างฯ ที่มีความจุเกิน 100% จำนวน 2 อ่าง ขณะที่ขนาดใหญ่และขนาดกลางที่เกินความจุ 80 – 100 % มีจำนวน 58 อ่างฯ เป็นขนาดใหญ่ 4 อ่างฯ ขนาดกลาง 54 อ่างฯ ซึ่งหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้เร่งดำเนินการระบายน้ำตามมติที่ประชุมคณะอนุกรรมการวิเคราะห์ติดตามสถานการณ์และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ที่ผ่านมา แต่ด้วยปัจจัยเรื่องฝนและอิทธิพลของพายุเซินติญทำให้ปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนเพิ่มขึ้น และพบว่ามีหลายเขื่อนที่มีน้ำไหลลงเขื่อนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา เช่น เขื่อนแก่งกระจาน เพิ่มขึ้นถึง 41% เขื่อนน้ำอูน เพิ่มขึ้น 24% และเขื่อนวชิราลงกรณ 21% เป็นต้น”นายสมเกียรติ กล่าว

                อย่างไรก็ตาม สทนช.ได้เน้นย้ำให้กรมชลประทาน และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กำหนดแผนปฏิบัติการและซักซ้อมการกำหนดแผนการระบายน้ำ และพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบ หากระดับน้ำในเขื่อนสูงจนอาจเกิดภัยพิบัติได้เป็นการล่วงหน้า โดยให้แจ้งผู้ว่าราชการจังหวัด และ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เพื่อประกาศแจ้งเตือนและมีแผนรับมือต่อไปด้วย รวมถึงให้ทุกหน่วยงานรายงานสถานการณ์ประจำวันมายัง สทนช.เพื่อวิเคราะห์และสรุปเสนอรองนายกฯ (พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ) และนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ตามลำดับต่อไป

             ล่าสุดนายสมเกียรติ ประจำวงษ์ ได้มีคำสั่งสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเปิดศูนย์เฉพาะกิจบริหารจัดการน้ำในภาวะวิกฤต โดยมีนายสำเริง แสงภู่วงศ์ รองเลขาธิการสทนช.เป็นผู้อำนวยการศูนย์ เพื่อใช้เป็นจุดบัญชาการและประชุมหารือแผนปฏิบัติ  ณ ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ  (SWOC)  กรมชลประทาน สามเสน