อนุฯ กนช.ระดมหน่วยงานน้ำพร้อมรับน้ำหลาก

พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรม การวิเคราะห์ติดตามสถานการณ์และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำครั้งแรกร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการ ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์น้ำหลาก ปี 2561 ตามที่ สทนช. ได้จัดทำระบบคาดการณ์ โดยรวมรวมข้อมูลจากทุกหน่วยงานมาวิเคราะห์ เช่น ปริมาณน้ำฝน ข้อมูลน้ำท่า ข้อมูลน้ำในแหล่งเก็บกักน้ำต่าง ๆ โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงซึ่งได้มีการประเมินพื้นที่ต่างๆมีความเสี่ยงที่จะเกิดอุทกภัยตามอิทธิพลของมรสุมในช่วงเดือน

นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กล่าวภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมได้ร่วมมีมติมอบทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการใน 4 มาตรการหลักรองรับสถานการณ์ล่วงหน้า คือ

1. การบริหารจัดการน้ำในเขื่อนต่างๆ ให้เหมาะสม และสามารถรองรับปริมาณฝนในช่วงฤดูฝนได้ ซึ่งเบื้องต้นพบว่ามีปริมาณน้ำเก็บกักเฉลี่ย 63 % ของความจุอ่างฯ และให้พิจารณาจัดตั้งอาสาสมัครเฝ้าระวังอ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก

2. การชี้แจงทำความเข้าใจกับเกษตรกร และประชาชนในพื้นที่ลุ่มต่ำภาคกลาง 13 ทุ่ง สามารถรองรับน้ำได้รวม 2,050 ล้าน ลบ.ม. แบ่งเป็น ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนบน พื้นที่ทุ่งบางระกำ 3.82 แสนไร่ ซึ่งเกษตรกรเริ่มเพาะปลูกไปตั้งแต่ 1 เมษายน 2561 และจะเก็บเกี่ยวแล้วเสร็จก่อนเดือนสิงหาคม โดยจะรับน้ำเข้าทุ่งประมาณกลางเดือนสิงหาคมสามารถหน่วงน้ำได้ 550 ล้าน ลบ.ม. และลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง จำนวน 12 ทุ่ง พื้นที่ 1.15 ล้านไร่ เริ่มเพาะปลูก 1 พฤษภาคม 2561 เก็บเกี่ยวแล้วเสร็จประมาณ 15 กันยายน 61 เริ่มรับน้ำเข้าทุ่ง ระหว่าง 20 กันยายน – 20 ตุลาคม 2561 สามารถหน่วงน้ำได้ 1,500 ล้าน ลบ.ม. โดยเน้นย้ำให้นำประเด็นปัญหาและอุปสรรคจากการดำเนินการในปีที่ผ่านมามาพิจารณาดำเนินการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

3. การสำรวจสิ่งก่อสร้าง และอุปสรรคที่กีดขวางทางน้ำ และแผนรองรับให้แล้วเสร็จก่อนฤดูน้ำหลาก 

4. สำรวจและเตรียมความพร้อมอุปกรณ์ เครื่องจักรเครื่องมือ เครื่องสูบน้ำ และเรือ ให้พร้อมใช้งาน โดยร่วมกันบูรณาการช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบกรณีเกิดภัยโดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงข้างต้นด้วย อย่างไรก็ตาม สทนช.จะติดตามสถานการณ์น้ำและผลการดำเนินงานแต่ละแผนงานอย่างใกล้ชิดต่อไป

เลขาธิการ สทนช.กล่าวต่อว่า ที่ประชุมยังได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดทำการสำรวจสิ่งก่อสร้าง และอุปสรรคที่กีดขวางทางน้ำ พร้อมทั้งให้วางแผนรองรับให้แล้วเสร็จก่อนฤดูน้ำหลาก และให้เร่งสำรวจ เตรียมความพร้อมอุปกรณ์ เครื่องจักร เครื่องมือ เครื่องสูบน้ำ เรือ ให้พร้อมใช้งาน และที่สำคัญให้ร่วมกันบูรณาการช่วยเหลือ บรรเทาผลกระทบกรณีเกิดอุทกภัย โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยง ซึ่งได้มีการประเมินพื้นที่ต่างๆ มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุทกภัยตามอิทธิพลของมรสุมในช่วงเดือนต่างๆดังนี้ เดือนมิถุนายน 2561 ได้แก่ จ.น่าน แพร่ เพชรบูรณ์ ปราจีนบุรี จันทบุรี พังงา เดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2561ได้แก่ จ.เชียงใหม่ อุบลราชธานี เดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2561 ได้แก่ ลำปาง พิษณุโลก ส.ค.- ก.ย. ได้แก่ แพร่ สุโขทัย นครสวรรค์ อุทัยธานี เดือนกันยายน-ตุลาคม 2561 ได้แก่ แพร่ สุโขทัย ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง อยุธยา เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2561 ได้แก่ ปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพฯ สงขลา และเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2561 ได้แก่ สงขลา นครศรีธรรมราช

“แผนการดำเนินงานการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์น้ำหลาก ปี 2561 ที่ได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามภารกิจอย่างเร่งด่วน พร้อมทั้งให้จัดอบรมซักซ้อมความเข้าใจกับผู้ปฏิบัติงานทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคให้ทำงานสอดรับกันระหว่างลุ่มน้ำด้วย ทั้งนี้จะต้องรายงานให้คณะอนุกรรมการวิเคราะห์ติดตามสถานการณ์และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ได้รับทราบแผนของแต่ละหน่วยงานภายใน 1-2 สัปดาห์นี้” นายสมเกียรติ กล่าวทิ้งท้าย