หลายคนคงเคยอ่าน/ฟังกาแฟต้นเดียวของชาวกะเหรี่ยงบนดอยอินทนนท์ ที่พระบาทสมเด็จพรปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่9ทรงพระดำเนิน(เดิน)ไปทอดพระเนตรถึง แปลง
…เบื้องหลังเรื่องนี้ไฟแลบแปล๊บปล๊าบทีเดียว
…พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ในฐานะนายตำรวจราชสำนัก เล่าผ่านหนังสือ”รอยพระยุคลบาท”ว่า วันนั้น 3 ธันวาคม 2517 เสด็จฯจากพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศไปดอยอินทนนท์ไปถึงยอดดอยประทับเสวยพระกระยาหารกลางวัน
…จากนั้นเสด็จฯไปบ้านขุนกลาง บนดอยเดียวกัน แล้วเสด็จฯไปบ้านอังกาน้อย ตรงทางแยกเข้าบ้านต้องพระดำเนินไปตามไหล่เขา ราว3 กิโลเมตรแล้วทรงพระดำเนินต่ออีก 2 กิโลเมตรไปยังบ้านท่าฝั่งซึ่งราษฎรเป็นชาวกะเหรี่ยง เช่นกัน
…แต่ละจุดที่แวะทรงมีพระราชปฏิสันถารกับราษฎรและพระราชทานไก่พันธุ์โร้ดไอส์แลนด์เร้ด(ไว้ผสมกับไก่ พื้นเมือง)และผ้าห่ม
…ผมนึกว่าการเสด็จฯจะสิ้นสุดที่บ้านท่าฝั่ง แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ ปรากฏว่าผู้จัดการเสด็จฯคือมจ.ภีศเดช รัชนี กราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯให้ทรงพระดำเนินต่ออีกราว 1กิโลเมตรจนถึงไร่กาแฟที่ราษฎรชาวกะเหรี่ยงปลูกไว้ รวมระยะทางพระดำเนินวันนั้น6 กิโลเมตร
…สิ่งที่ทำให้ผมระงับโทสะไว้ไม่ได้คือ ที่ไร่กาแฟแห่งนั้นมีต้นกาแฟให้พระเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตรเพียงต้นเดียว
…พระเจ้าอยู่หัวทรงทราบว่า ผมโกรธท่านภีศเดช จึงรับสั่งให้เฝ้าฯ แล้วตรัสถาม ผมกราบบังคมทูลว่าเป็นเช่นนั้น
…ตรัสถามต่อไปว่า ทราบหรือเปล่าว่า เมื่อก่อนกะเหรี่ยงดอยอินทนนทฺ์ ประกอบอาชีพอะไร กราบบังคมทูลไปว่า ปลูกฝิ่น
…พระเจ้าอยู่หัวตรัสด้วยพระสุรเสียงเปี่ยมเมตตาว่า แต่ก่อน”เขา”ปลูกฝิ่น “เรา”ไปพูดจาชี้แจงชักชวนให้เขาลองปลูกกาแฟแทน กะเหรี่ยงไม่เคยปลูกกาแฟมาก่อนเลย ที่กาแฟไม่ตายเสียหมด แต่ยังเหลืออยู่หนึ่งต้นนั้น ต้องถือเป็นความก้าวหน้าสำหรับกะเหรี่ยง จึงต้องไปทอดพระเนตร จะได้แนะนำเขาต่อไปได้ว่า ทำอย่างไรกาแฟจะเหลือมากกว่าหนึ่งต้น
…นอกจากตาสว่างแล้ว โทสะที่มีต่อมจ.ภีศเดชก็หายไปในบัดดล
…”ทำให้ผมระลึกได้อีกครั้งในพระบรมราโชบายว่า ไม่โปรดการ”เร่งรัดพัฒนา” แต่โปรดให้ราษฎรเรียนรู้ด้วยตัวเอง เละรู้จักพัฒนาตัวเอง
©2017 Copyright, Thaiagritec. All rights reserved.
อีเมล์ : water4life2017@gmail.com
โทรศัพท์ : 09 8269 1197 08 6888 1918
ที่อยู่ : 299/3 หมู่บ้านเบล็ส วิลล์ รามอินทรา ซอยพระยาสุเรนทร์ 25 แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กรุงเทพฯ 10510